DSM หรือชื่อเต็มๆคือ DiskStation Manager เป็น OS ที่ใช้บน NAS ของทาง Synology ซึ่งตอนนี้ก็เดินทางมาถึง version 7 และออกเวอร์ชั่นเต็มมาให้อัพเดทกันแล้ว สำหรับใครที่ไม่รู้วิธีการ update ก็ดูตามด้านล่างได้เลย

---
title: "การอัพเดท DSM 7 สำหรับ Synology NAS"
date: 2021-08-28
description: "DSM หรือชื่อเต็มๆคือ DiskStation Manager เป็น OS ที่ใช้บน NAS ของทาง Synology ซึ่งตอนนี้ก็เดินทางมาถึง version 7 และออกเวอร์ชั่นเต็มมาให้อัพเดทกันแล้ว สำหรับใครที่ไม่รู้วิธีการ update ก็ดูตามด้านล่างได้เลย"
cover_image: "/images/posts/cover/dsm7.jpeg"
category: "Synology"
feature: false
tags:
 - dsm
---

## How to update

ก่อนจะทำการ update อยากให้เช็คแอพที่เราใช้ใน NAS ว่าสามารถใช้งานกับ version 7 ได้เป็นปกติหรือไม่ ส่วนตัวที่ผมลงเพิ่มจากที่ Synology มีให้ก็จะเป็น Docker ซึ่งก็สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img01.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

เปิด Control panel ขึ้นมาแล้วไปที่ tab update จะเห็นว่ามี version 7
มารอแล้ว กด <code>upgrade</code> ไปเลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img02.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

หลังจากกด <code>upgrade</code> ก็จะมีข้อตกลงการใช้งาน ก็ติ๊กถูกตรง
**I understand...** แล้วกด Next ไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img03.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

ระบบจะแจ้งเตือนก่อนว่า "มันต้อง reboot NAS นะ โอเคป่าว?" เราก็ตอบ Yes
ระบบก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการ update เราก็ไม่ต้องทำอะไร เดินไปชงกาแฟรอ

## Update in progress

ถึงตรงนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ...

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img04.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img05.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

ถึงตรงนี้ตัว NAS จะ reboot ตัวเอง

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img06.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img07.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

ถึงตรงนี้ก็ยังต้องรอต่อไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img08.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img09.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img10.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img11.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img12.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img13.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

## Login

หลังจาก update เสร็จก็เข้า Login เพื่อใช้งาน NAS

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img14.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

ใส่ Username

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img15.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

จริงๆ ก็แอบหงุดหงิดกับหน้า Login แบบใหม่อยู่นะ เพราะอยากได้หน้า Login ที่ใส่ User
กับ Password ในหน้าเดียวกันเลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img16.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

แล้วก็รอ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img17.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>
<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img18.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img19.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-dsm7/img20.png`}
 alt={`DSM7`}
 width={850}
 height={450}
/>

ไม่ยากเลยใช่ไหมละครับ สำหรับการอัพเดทไปเวอร์ชั่น 7 แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือแอพที่เราใช้ว่าจะรองรับไหม และใช้เวลาค่อนข้างนานในการอัพเดท ยังไงก่อนอัพเดทก็ควรทำในช่วงที่ไม่มีใครเข้ามาใช้งานใน NAS นะครับ

การอัพเดท DSM 7 สำหรับ Synology NAS

ในการอัพเดท Unifi Controller ที่ติดตั้งไว้บน NAS Synology จะอัพเดทด้วยวิธีปกติไม่ได้ เพราะมันถูกติดตั้งไว้บน Docker อีกที แต่ก็ไม่ได้จะอัพเดทยากเย็นอะไร มาดูกันเลย

---
title: "การอัพเดท Unifi Controller ที่ติดตั้งไว้บน NAS Synology"
date: 2021-05-03
description: "ในการอัพเดท Unifi Controller ที่ติดตั้งไว้บน NAS Synology จะอัพเดทด้วยวิธีปกติไม่ได้ เพราะมันถูกติดตั้งไว้บน Docker อีกที แต่ก็ไม่ได้จะอัพเดทยากเย็นอะไร มาดูกันเลย"
cover_image: "/images/posts/cover/unifi-controller.png"
category: "Synology"
tags:
 - unifi
---

## Login Unifi Controller

หลังจาก Login จะเห็นว่ามีเวอร์ชั่น 6.1.71 พร้อมอัพเดท

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/01-update-popup.webp`}
 alt={`Update Available`}
 width={960}
 height={460}
/>

## Backup Config

ก่อนอัพเดทควรจะ Backup ค่าต่างๆ เผื่อไว้กันเหนียว เพราะว่าหากอัพเดทแล้วเจอปัญหา จะได้ไม่ได้ต้องตั้งค่าอะไรใหม่

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/02-export-config.webp`}
 alt={`Export Config`}
 width={960}
 height={460}
/>

## Download Image

เปิด Docker ขึ้นมา ค้นหา jacob แล้วคลิกขวาที่ **jacobalberty/unifi** แล้วเลือก Download this Image

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/03-download-image.webp`}
 alt={`Download Image`}
 width={960}
 height={520}
/>

เลือก Latest แล้วกด Select

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/04-select-version.webp`}
 alt={`Select Version`}
 width={960}
 height={520}
/>

รอจน Download image เสร็จ (ปกติใช้เวลา 5 นาทีโดยประมาณ)

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/06-downloaded.webp`}
 alt={`Download Complete`}
 width={960}
 height={520}
/>

## Let's Update

คลิกที่ Container แล้วปิด unifi-controller ที่เราติดตั้งไว้

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/05-stop-service.webp`}
 alt={`Stop Service`}
 width={960}
 height={520}
/>

คลิกขวาเลือก Clear

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/07-clear.webp`}
 alt={`Clear old data`}
 width={960}
 height={520}
/>

จากนั้นเปิด Container unifi-controller อีกรอบ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/08-start-service.webp`}
 alt={`Start Service`}
 width={960}
 height={520}
/>

รอ Service ทุกอย่างทำงานสักครู่ จากนั้นเข้าดู Unifi Controller จะถูกเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/update-unifi-controller-synology/09-successful.webp`}
 alt={`Version 6.1.71`}
 width={960}
 height={520}
/>

#### [Source](https://vmlabblog.com/2020/07/upgrade-unifi-network-controller-on-synology/)

การอัพเดท Unifi Controller ที่ติดตั้งไว้บน NAS Synology

โดยปกติเราจะใช้ Unifi Controller ไว้จัดการกับอุปกรณ์ต่างๆ ของ Unifi แต่ปัญหาคือ Unifi Controller ไม่ได้ทำงานอยู่บนตัวอุปกรณ์ Unifi โดยตรง จำเป็นต้องติดตั้งลงกับคอมพิวเตอร์เพื่อจัดการอีกที ซึ่งทำให้ ถ้าไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ด้วยความที่ผมมี NAS Synology อยู่แล้ว และเห็นว่ามันมีทางที่พอจะติดตั้ง Unifi Controller ไว้บน NAS ได้ เพราะปกติผมก็เปิด NAS เกือบ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว เอาหละเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าการติดตั้งยากน้อยแค่ไหน เริ่มกันเลย

---
title: "การติดตั้ง Unifi Controller ไว้บน NAS Synology"
date: 2021-05-03
description: "โดยปกติเราจะใช้ Unifi Controller ไว้จัดการกับอุปกรณ์ต่างๆ ของ Unifi แต่ปัญหาคือ Unifi Controller ไม่ได้ทำงานอยู่บนตัวอุปกรณ์ Unifi โดยตรง จำเป็นต้องติดตั้งลงกับคอมพิวเตอร์เพื่อจัดการอีกที ซึ่งทำให้ ถ้าไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ด้วยความที่ผมมี NAS Synology อยู่แล้ว และเห็นว่ามันมีทางที่พอจะติดตั้ง Unifi Controller ไว้บน NAS ได้ เพราะปกติผมก็เปิด NAS เกือบ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว เอาหละเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าการติดตั้งยากน้อยแค่ไหน เริ่มกันเลย"
cover_image: "/images/posts/cover/unifi-controller.png"
category: "Synology"
tags:
 - unifi
---

## Download Unifi Controller

แอพเปิด Docker ขึ้นมา (ถ้ายังไม่มีสามารถโหลดได้จาก [Package Center](https://www.synology.com/en-global/dsm/packages/Docker) ได้เลย) แล้วค้นหาด้วย keyword **unifi** จากนั้นขวาที่แพคเกจ <code>jacobalberty/unifi</code> แล้วเลือก Download this image

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/01-download-image.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={800}
 height={440}
/>

จะมี Popup ขึ้นเลือก latest แล้วกด select ได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/02-select-tag.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={469}
 height={169}
/>

รอจนเสร็จ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/03-download-image.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={960}
 height={580}
/>

## Setting Unifi Controller

รอจน Download เสร็จ โดยดูได้จากเมื่อรูป Disk อยู่กระพิบแล้ว จากนั้นกด Lanch

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/04-launch-image.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={960}
 height={480}
/>

ตั้งชื่อ Container, ติ๊กถูก **Enable resource limitation** แล้วกดปุ่ม **Advanced Settings**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/05-name-container.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={700}
 height={500}
/>

ติ๊กถูก **Enable auto-restart** เพื่อให้ Container เปิดอัตโนมัติในกรณีที่ NAS reboot ตัวเอง

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/06-advanced-settings.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={650}
 height={550}
/>

คลิกที่แท็บ **Volume** คลิกปุ่ม **Add Folder** เพื่อเลือกที่เก็บไฟล์ของ Container

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/07-volume-add-folder.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={650}
 height={550}
/>

Create folder แล้วตั้งชื่อที่ต้องการ หลังจากสร้างเสร็จแล้ว กด Select

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/08-create-folde.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={480}
 height={500}
/>

ในช่อง **Mount path** ให้ใส่ <code>/unifi</code> ก็คือชื่อ Docker ที่เราสร้างนั่นแหละ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/09-add-mount-path.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={650}
 height={550}
/>

คลิกที่แท็บ **Port settings** ตั้งค่า **Local Port** ให้เหมือนกับ **Container Port**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/10-configure-port-settings-edit.png`}
 alt={`Unifi on Synology`}
 width={650}
 height={580}
/>

แท็บ **Environment** ทำการเปลี่ยน value ของ **BIND_PRIV** และ **RUNAS_UID0** เป็น <code>false</code> แล้วกด **Apply**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/11-configure-environment.png`}
 alt={`Advanced Settings`}
 width={650}
 height={550}
/>

กลับมาที่หน้า General Settings กด **Next**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/12-select-next.png`}
 alt={`General Settings`}
 width={700}
 height={500}
/>

หน้า Summary ติ๊กถูก **Run this container after the wizard is finished** แล้วกด **Apply**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/13-apply-and-run-container.png`}
 alt={`Summary`}
 width={700}
 height={500}
/>

คลิกที่ Container จากเห็นชื่อ **Unifi** ที่เราสร้าง รอมันเริ่มการทำงานสักครู่ (โดยปกติไม่เกิน 5 นาที)

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/14-select-container.png`}
 alt={`Run docker`}
 width={960}
 height={500}
/>

15. ในการใช้งานจำเป็นต้องเปิด port ที่ Firewall โดยเข้าไปที่ **Control Panel :arrow_right: Security :arrow_right: Firewall** แล้วคลิก **Edit Rules**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/15-edit-firewall.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={960}
 height={500}
/>

ในหน้า Edit Profile คลิก **Create** จะขึ้นหน้า Create Firewall Rules ขึ้นมา เลือก **Custom** แล้วกดปุ่ม **Custom**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/16-customrules.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={800}
 height={600}
/>

เพิ่มในส่วนของ TCP ports: **8080,8443,8843,8880,6789** แล้วกด **OK** สองครั้ง

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/17.-TCP-ports.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={560}
 height={330}
/>

เข้าหน้า Edit Profile อีกรอบ คลิก **Create** จะขึ้นหน้า Create Firewall Rules ขึ้นมา เลือก **Custom** แล้วกดปุ่ม **Custom**

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/16-customrules.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={800}
 height={600}
/>

เพิ่ม UDP ports เลือก **UDP** แล้วใส่ Port **3478,10001** กด OK สามครั้ง

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/19.-UDP-ports.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={560}
 height={330}
/>

จะเห็น Popup **Firewall settings have been saved successfully** กด OK และลองเข้าใช้งาน Unifi Controller ได้เลย หากเข้าไม่ได้ลอง Reboot Nas ดูสักรอบ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/20.-Firewall-settings-saved-succesfully.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={960}
 height={560}
/>

เปิด **Browser** ขึ้นมา แล้วเข้า URL `https://<NAS_IP>:8443`ถ้าขึ้นหน้าแบบนี้ก็เป็นอันใช้ได้ จะตั้งค่าใหม่หรือ restore ค่าก็ตามที่ท่านสะดวกเลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/install-unifi-controller-on-synology/21-start-configuring-container.png`}
 alt={`Open Port Firewall`}
 width={920}
 height={650}
/>

<DownloadButton
 icon="logo-docker"
 text="Unifi Docker"
 href="https://hub.docker.com/r/jacobalberty/unifi"
/>

<DownloadButton
 icon="open-outline"
 text="Source"
 href="https://vmlabblog.com/2020/06/install-unifi-network-controller-on-synology/"
/>

การติดตั้ง Unifi Controller ไว้บน NAS Synology

One-way Sync เป็นฟังก์ชันที่อยู่บนแพคเกจ Cloud Sync คือ หากเราเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้ตัวแพคเกจจะดาวน์โหลดข้อมูลเข้ามาที่ตัว NAS เท่านั้น จะไม่มีการอัพโหลดกลับคืน Cloud Storage ที่เราใช้บริการอยู่แต่อย่างใด

---
title: "รู้จักฟังก์ชัน One-way Sync บน Cloud Sync"
date: 2018-08-20
description: "One-way Sync เป็นฟังก์ชันที่อยู่บนแพคเกจ Cloud Sync คือ หากเราเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้ตัวแพคเกจจะดาวน์โหลดข้อมูลเข้ามาที่ตัว NAS เท่านั้น จะไม่มีการอัพโหลดกลับคืน Cloud Storage ที่เราใช้บริการอยู่แต่อย่างใด"
cover_image: "/images/posts/cover/cloud-sync.png"
category: "Synology"
tags:
 - cloud sync
---

## Why use it?

อย่างเช่น ผมมีใช้ Google Drive ซึ่งมีพื้นที่จำกัดอยู่ที่ 15 GB ซึ่งไม่พอใช้ และผมต้องลบไฟล์ทิ้งบ่อยๆ ผมจึงใช้ One-way Sync เพื่อให้ Cloud Sync ดาวน์โหลดไฟล์จาก Google Drive มายัง NAS เพียงอย่างเดียว และเมื่อมีการลบไฟล์บน Google Drive ไฟล์บน NAS จะยังอยู่ เมื่อพื้นที่บน Google Drive ใกล้เต็ม ผมสามารถลบไฟล์ทิ้งได้จาก Google Drive ได้อย่างสบายใจ เพราะยังไงมีไฟล์สำรองบน NAS อยู่แล้ว

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/oneway-cloudsync/cloud-providers.webp`}
 alt={`Install Spotify`}
 width={500}
 height={192}
/>

## How to use

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/oneway-cloudsync/one-way.webp`}
 alt={`Cloud Providers`}
 width={957}
 height={741}
/>

เลือกบริการที่เราต้องการเปลี่ยนจากนั้นเลือก

Task list :arrow_forward: Edit :arrow_forward: Sync direction :arrow_forward: Download remote changes only และติ๊กที่ Don't remove files in the destination folder when they are removed in the source folder.

เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย

## :warning:

วิธีการนี้ไม่ควรใช้กรณีที่เราต้องการแก้ไขไฟล์จาก NAS แล้วอยากให้อัพเดทไฟล์บน Cloud Storage นั้นๆ ด้วย เพราะเมื่อเราแก้ไขจะไม่มีการอัพโหลดขึ้นไปยังบริการ Cloud Storage ที่เราใช้งานอยู่ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่แก้ไขบน Cloud Storage เป็นหลักแล้วค่อยดาวน์โหลดกลับมาเก็บไว้ที่ NAS อีกที ยังไงก็ไปปรับใช้ตามความเหมาะสมนะครับ

รู้จักฟังก์ชัน One-way Sync บน Cloud Sync

Video Station บน NAS Synology เป็น Package สำหรับจัดการภาพยนตร์ เอาใจคนที่ชอบชมภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถทำเป็นคลังภาพยนตร์ไว้ที่เดียว และสามารถแบ่งปันให้คนอื่นชมได้ด้วย ซึ่ง NAS Synology ตอบโจทย์ตรงนี้มาก หลายๆ ท่านอาจจะบอกว่ายี่ห้ออื่นก็ทำได้ หรือโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ก็มีบางตัวที่สามารถทำแบบนี้ได้เหมือนกัน ส่วนนั้นก็ถูกครับ แต่อย่าลืมว่าเราต้องใช้คอมพิวเตอร์ซึ่งการเปิดเครื่องรอให้เครื่องอื่นมาสตรีมจากเครื่องเรา โคตรจะเปลืองไฟเลย ผิดกับ NAS กินไฟน้อยกว่าคอมพิวเตอร์มาก ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ ที่สำคัญอยากบอกว่า Package และแอพบนมือถือของเขาใช้งานโคตรจะง่าย แล้วมันก็ดีมากๆ ใครไม่เคยใช้มาก่อนก็สามารถทำได้ ไม่เชื่อไปชมกันเลย

---
title: "จัดการภาพยนตร์บน NAS Synology ด้วย Video Station"
date: 2018-07-25
description: "Video Station บน NAS Synology เป็น Package สำหรับจัดการภาพยนตร์ เอาใจคนที่ชอบชมภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถทำเป็นคลังภาพยนตร์ไว้ที่เดียว และสามารถแบ่งปันให้คนอื่นชมได้ด้วย ซึ่ง NAS Synology ตอบโจทย์ตรงนี้มาก หลายๆ ท่านอาจจะบอกว่ายี่ห้ออื่นก็ทำได้ หรือโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ก็มีบางตัวที่สามารถทำแบบนี้ได้เหมือนกัน ส่วนนั้นก็ถูกครับ แต่อย่าลืมว่าเราต้องใช้คอมพิวเตอร์ซึ่งการเปิดเครื่องรอให้เครื่องอื่นมาสตรีมจากเครื่องเรา โคตรจะเปลืองไฟเลย ผิดกับ NAS กินไฟน้อยกว่าคอมพิวเตอร์มาก ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ ที่สำคัญอยากบอกว่า Package และแอพบนมือถือของเขาใช้งานโคตรจะง่าย แล้วมันก็ดีมากๆ ใครไม่เคยใช้มาก่อนก็สามารถทำได้ ไม่เชื่อไปชมกันเลย"
cover_image: "/images/posts/cover/videostation.png"
category: "Synology"
tags:
 - video station
---

## Import File to NAS

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/01.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เข้าไปที่ตัว NAS แล้วเปิด File Station จากนั้นก๊อปปี้ไฟล์ภาพยนตร์ลงในโฟลเดอร์ที่เราต้องการ

## Setting Video Station

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/02.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

หากใครยังไม่มี Package นี้ ให้เข้าไปติดตั้งจาก Package Center ก่อน (โดยปกติมันติดตั้งให้แล้ว)

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/03.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

อ่านแนะนำการใช้งาน เสร็จแล้วกด Skip

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/04.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

กด + เพื่อเพิ่ม Path ของโฟลเดอร์ภาพยนตร์ที่เราต้องการ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/05.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

กด Select เพื่อเลือก Folder

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/06.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เมื่อเลือกแล้ว กด Select

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/07.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

แล้ว OK

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/08.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

คลิก Index เพื่อทำการเรียกข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ในโฟลเดอร์ของเรา

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/09.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เมื่อเสร็จแล้วจะมีรายละเอียดภาพยนตร์เพิ่มขึ้นมา เท่านี้เราก็สามารถชมภาพยนตร์ที่เราต้องการได้แล้ว

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/10.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ไหนลองสักเรื่องซิ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/11.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

Very Good

## DS video Mobile App

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/12.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ดาวน์โหลดแอพ DS video

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/13.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เข้าระบบให้เรียบร้อย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-video-station/14.webp`}
 alt={`Video Station`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เรียบร้อย

เพียงเท่านี้เราก็สามารถมีคลังภาพยนตร์ส่วนตัวไว้ชมเองหรือแบ่งคนทั้งบ้านช่วยกันชมก็ยังได้เลย สามารถรับชมได้ทั้งผ่านคอมพิวเตอร์หรือมือถือรองรับทั้ง iOS และ Android เลย แต่ตอนนี้ได้เวลารับชมภาพยนตร์ของผมละ ขอให้สนุกกับการชมภาพยนตร์และใช้ NAS Synology แล้วพบกันใหม่บทความหน้าสวัสดีครับ

จัดการภาพยนตร์บน NAS Synology ด้วย Video Station

ถึงแม้เราจะมี NAS ที่ทำ RAID ต่างๆ ไว้แล้ว แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า Harddisk เราจะลาโลกไปวันไหน การที่มีข้อมูลเก็บไว้หลายๆ ที่จริงเป็นเรื่องที่ควรกระทำมาก หากข้อมูลชิ้นนั้นเป็นอะไรที่สำคัญมาก หากหายไปแล้วไม่สามารถหาสิ่งใดมาแทนที่ข้อมูลเดิมได้ การเก็บข้อมูลไว้หลายๆ ที่ ก็จะป้องกันการหายของข้อมูลชิ้นนั้นอย่างถาวรได้ วันนี้ผมจะมีแนะนำการใช้ Cloud Sync ควบคู่ไปกับ NAS Synology

---
title: "Sync ข้อมูลจาก NAS Synology ขึ้น Cloud Storage ง่ายๆ ด้วย Cloud Sync"
date: 2018-07-25
description: "ถึงแม้เราจะมี NAS ที่ทำ RAID ต่างๆ ไว้แล้ว แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า Harddisk เราจะลาโลกไปวันไหน การที่มีข้อมูลเก็บไว้หลายๆ ที่จริงเป็นเรื่องที่ควรกระทำมาก หากข้อมูลชิ้นนั้นเป็นอะไรที่สำคัญมาก หากหายไปแล้วไม่สามารถหาสิ่งใดมาแทนที่ข้อมูลเดิมได้ การเก็บข้อมูลไว้หลายๆ ที่ ก็จะป้องกันการหายของข้อมูลชิ้นนั้นอย่างถาวรได้ วันนี้ผมจะมีแนะนำการใช้ Cloud Sync ควบคู่ไปกับ NAS Synology"
cover_image: "/images/posts/cover/cloud-sync-cover.png"
category: "Synology"
tags:
 - cloud sync
---

จุดประสงค์ของ Cloud Sync : รวมข้อมูลทุกอย่างไว้ในที่เดียว อย่างเช่น เรามีข้อมูลเยอะมาก กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ทั้งใน Dropbox, Google Drive, Synology NAS หรืออื่นๆ แต่เวลาจะหาข้อมูลมาเพื่อใช้งาน อาจลืมว่าเก็บไว้ที่คลาวด์ไหน แต่ด้วยความที่ Cloud Sync เป็นการรวมบริการ Cloud Storage ทุกค่ายไว้บน NAS เวลาจะหาหรือแก้ไขข้อมูล ก็สามารถมาที่ NAS ได้โดยตรง แล้วข้อมูลที่ถูกแก้ไข ก็จะมีการอัพเดทไปยัง Cloud นั้นๆ ด้วย (เมพ...)

ซึ่งตัวที่ผมจะมาแนะนำในที่นี้คือ Dropbox หากใครใช้ Cloud Storage เจ้าอื่นก็สามารถใช้วิธีที่ผมนำเสนอไปใช้ได้เช่นกัน

## How to Install

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-01.webp`}
 alt={`Install Cloud Sync`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ติดตั้ง Cloud Sync จาก Package Center

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-02.webp`}
 alt={`Open Cloud Sync`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เสร็จแล้วเปิดโปรแกรมได้เลย Cloud Sync

## Config Cloud Sync

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-03.webp`}
 alt={`Choose Provider`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เมื่อเปิดโปรแกรมมาแล้ว เลือกบริการ Cloud Storage ที่คุณใช้บริการอยู่ ในที่นี้ผมเลือก Dropbox ละกัน

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-04.webp`}
 alt={`Login Dropbox`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ใส่ข้อมูลการเข้าระบบของคุณ หน้าตาอาจจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่าใช้บริการของเจ้าไหน อันนี้ผมใช้ Dropbox มันจะให้ Sign in ผ่าน Browser

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-05.webp`}
 alt={`Allow`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เมื่อเข้าระบบได้แล้ว เลือก Allow เพื่อยินยอมให้ Cloud Sync เข้าถึงบัญชีของเรา

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-06.webp`}
 alt={`Agree`}
 width={1440}
 height={900}
/>

กด Agree เพื่อยอมรับ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-07.webp`}
 alt={`Task Setting`}
 width={1440}
 height={900}
/>

**Connection name:** ชื่อบริการ Cloud Storage ของเรา

**Local path:** ที่เก็บไฟล์สำหรับบริการ Cloud Storage ของเรา

**Remote path:** เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการ Sync ไฟล์จาก Cloud Storage โฟลเดอร์ไหนบ้าง ในตัวอย่างผมเอาทุกไฟล์

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-08.webp`}
 alt={`Select Path`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เลือกที่เก็บไฟล์สำหรับบริการ Cloud Storage ของเรา เมื่อได้แล้วกด Select

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-09.webp`}
 alt={`Task Setting`}
 width={1440}
 height={900}
/>

แล้วก็ Next

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-10.webp`}
 alt={`Task Setting`}
 width={1440}
 height={900}
/>

กด Apply

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-11.webp`}
 alt={`Done`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ตามนั้นแหละ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-12.webp`}
 alt={`Syncing`}
 width={1440}
 height={900}
/>

รอ Sync ไฟล์สักครู่

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-13.webp`}
 alt={`Syncing`}
 width={1440}
 height={900}
/>
เสร็จแล้ว...

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/cloud-sync/cloud-sync-14.webp`}
 alt={`Sync Done`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ชื่นชมผลงาน ไฟล์ทุกอย่างมาเรียบร้อย

เพียงเท่านี้เราก็สามารถทำการ Sync ไฟล์ระหว่าง NAS ของเรากับ Cloud Storage ที่เราใช้บริการอยู่ได้แล้ว สำหรับท่านไหนที่ใช้บริการเจ้าอื่น สามารถทำได้ไม่แตกต่างกันมาก ขอแค่ NAS Synology รองรับการให้บริการของเจ้านั้นๆ ก็สามารถใช้วิธีการเดียวกันที่ผมได้นำเสนอไป จะต่างก็แค่ชื่อและตอน Sign in แหละมั้งนะ คิดว่า สำหรับบทความนี้ผมก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ.

Sync ข้อมูลจาก NAS Synology ขึ้น Cloud Storage ง่ายๆ ด้วย Cloud Sync

สำหรับชาวลินุกซ์อย่างเราคงจะคุ้นเคยกับโปรแกรม Transmission และรุ้จักสรรพคุณกันเป็นอย่างดี แต่ Package นี้ก็ไม่ได้ถูกเพิ่มเข้ามาใน NAS Synology ตั้งแต่ต้น ต้องมากดเพิ่มอะไรนิดหน่อย ไม่กี่คลิกก็ใช้ได้ละ เอาหละวิธีเป็นยังไงบ้างนั้น มาดูกันเลย

---
title: "มาโหลดบิทบน NAS Synology ด้วย Transmission กันดีกว่า"
date: 2018-07-24
description: "สำหรับชาวลินุกซ์อย่างเราคงจะคุ้นเคยกับโปรแกรม Transmission และรุ้จักสรรพคุณกันเป็นอย่างดี แต่ Package นี้ก็ไม่ได้ถูกเพิ่มเข้ามาใน NAS Synology ตั้งแต่ต้น ต้องมากดเพิ่มอะไรนิดหน่อย ไม่กี่คลิกก็ใช้ได้ละ เอาหละวิธีเป็นยังไงบ้างนั้น มาดูกันเลย"
cover_image: "/images/posts/cover/transmission.png"
category: "Synology"
tags:
 - bittorrent
---

## Add SynoCommunity

ก่อนอื่นต้องเพิ่ม **SynoCommunity** ก่อน สามารถอ่านได้จาก บทความ [Package บน NAS Synology น้อยหรอ? ใช้ SynoCommunity สิ!](#)

## Install Transmission

หลังจากเพิ่ม SynoCommunity แล้ว กดที่เมนู Community เลื่อนหา Transmission หลังจากนั้นกดเข้าที่ตัว Package แล้วก็ Install ได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-01.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-02.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

ด้วย Transmission เป็น Package อย่างไม่เป็นทางการจาก Synology ระบบเลยจะถามยืนยันการติดตั้ง ก็ตอบ Yes ไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-03.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

## Setting Download directory

กำหนดที่เก็บไฟล์ที่ดาวน์โหลดจาก Transmission

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-04.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

## Setting Username

กำหนดชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อเข้าใช้ Transmission

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-05.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

ระบบจะอธิบายเกี่ยวกับสิทธิ์การใช้งานโปรแกรม

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-06.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

กด Apply ก็เรียบร้อยสำหรับการติดตั้ง Transmission

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-07.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-08.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

## Done.

สำหรับการเข้าใช้งาน Transmission จะเข้าผ่าน IP ของ NAS ที่ port **9091** ซึ่งจะแสดงให้เห็นตามรูปเลยครับ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-09.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

เมื่อเข้ามาแล้วก็ใส่ User name & Password ให้เรียบร้อย แล้ว OK ครับ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synology-transmission/install-transmission-10.webp`}
 alt={`Install Transmission`}
 width={1366}
 height={850}
/>

เพียงเท่านี้...เราก็สามารถใช้โปรแกรม Transmission ได้แล้ว

หากท่านใดติดปัญหาตรงไหน หรือมีอะไรจะสอบถามก็สามารถทิ้งคอมเม้นไว้ด้านล่างได้เลย สำหรับบทความนี้ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

มาโหลดบิทบน NAS Synology ด้วย Transmission กันดีกว่า

แพคเกจเดิมๆ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ DSM บน NAS Synology นั้น ผมมองว่าก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแหละ แต่สำหรับผมต้องการมากกว่านั้น จากที่หาข้อมูลอยู่หลายนาที ก็ได้มาเจอกับ SynoCommunity ซึ่งเป็นคลังแพคเกจรวมจาก Opensource เป็นส่วนมาก ซึ่งก็มีแพคเกจหลายตัวที่ผมถูกใจไม่ใช่น้อย เรามาดูกันว่าการนำเอาคลังแพจเกจมาไว้บน NAS ของเราไว้ติดตั้งใช้งานนั้น มีวิธีการอย่างไรบ้าง

---
title: "Package บน NAS Synology น้อยหรอ? ใช้ SynoCommunity สิ!"
date: 2018-07-23
description: "แพคเกจเดิมๆ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ DSM บน NAS Synology นั้น ผมมองว่าก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแหละ แต่สำหรับผมต้องการมากกว่านั้น จากที่หาข้อมูลอยู่หลายนาที ก็ได้มาเจอกับ SynoCommunity ซึ่งเป็นคลังแพคเกจรวมจาก Opensource เป็นส่วนมาก ซึ่งก็มีแพคเกจหลายตัวที่ผมถูกใจไม่ใช่น้อย เรามาดูกันว่าการนำเอาคลังแพจเกจมาไว้บน NAS ของเราไว้ติดตั้งใช้งานนั้น มีวิธีการอย่างไรบ้าง"
cover_image: "/images/posts/cover/synocommunity.png"
category: "Synology"
tags:
 - video station
---

## เริ่มกันเลย...

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/01.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เปิด Package Manager ขึ้นมา แล้วไปที่เมนู Settings

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/02.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

เลือก Package Sources

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/03.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

ตรงช่อง Name ใส่ SynoCommunity และช่อง Location ใส่ http://packages.synocommunity.com/ จากนั้นก็กด OK ไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/04.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

OK อีกที

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/05.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

OK อีกที

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/06.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

สังเกตที่แถบด้านซ้ายจะมี Community โผล่ขึ้นมา พร้อมกับแพคเกจเพิ่มเติม ชอบอันไหนก็เลือกติดตั้งกันได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/synocommunity/07.webp`}
 alt={`SynoCommunity`}
 width={1440}
 height={900}
/>

โอ้วพระเจ้า! มันเยี่ยมจริงๆ

หวังว่าทุกท่านคงจะเจอแพคเกจที่ถูกใจ และนำไปใช้กันอย่างมัวมันกันนะครับ หากใครมีแพคเกจจาก Community เจ๋งๆ ก็มาแบ่งปันกันบ้างนะครับ (เอาจริงๆ แพคเกจพวกนี้ ผมก็พอใจในระดับนึงเท่านั้นแหละ ยังอยากได้มากกว่านี้อีก อิอิ) หากท่านใดมีข้อสงสัยตรงไหน หรือมีอะไรจะติชมก็สามารถคอมเม้นไว้ด้านล่างได้เลย สำหรับบทความนี้ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ.

Package บน NAS Synology น้อยหรอ? ใช้ SynoCommunity สิ!

จากเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ผมได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Workshop กับทีมงาน Synology, OverclockZone และ Western Digital และทำให้ผมได้รับ NAS - Synology รุ่น DS218+ กลับมาเล่นที่บ้าน 1 ตัว อย่างฟินอะ บอกเลย ซึ่งแน่นอนหากคุณได้ NAS มา ขั้นแรกที่คุณต้องทำก็คือติดตั้งนั่นเอง ซึ่งการติดตั้งของ NAS จากทาง Synology ที่ผมชอบก็คือมันสามารถติดตั้งผ่านมือถือ iOS หรือ Andriod ได้เลย แหม่อย่างง่ายอะ เอาหละ เรามาดูกันว่าการติดตั้ง มันมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

---
title: "การติดตั้ง NAS Synology DS218+ สำหรับการใช้งานครั้งแรกด้วย iPhone"
date: 2018-07-23
description: "จากเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ผมได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Workshop กับทีมงาน Synology, OverclockZone และ Western Digital และทำให้ผมได้รับ NAS - Synology รุ่น DS218+ กลับมาเล่นที่บ้าน 1 ตัว อย่างฟินอะ บอกเลย ซึ่งแน่นอนหากคุณได้ NAS มา ขั้นแรกที่คุณต้องทำก็คือติดตั้งนั่นเอง ซึ่งการติดตั้งของ NAS จากทาง Synology ที่ผมชอบก็คือมันสามารถติดตั้งผ่านมือถือ iOS หรือ Andriod ได้เลย แหม่อย่างง่ายอะ เอาหละ เรามาดูกันว่าการติดตั้ง มันมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง"
cover_image: "/images/posts/cover/ds-finder.png"
category: "Synology"
tags:
 - dsfinder
---

## Install Harddisk to NAS

ใส่ Harddisk เข้าไปในตัว NAS ซะก่อน

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-01.webp`}
 alt={`NAS and Harddisk`}
 width={1032}
 height={774}
/>

แกะกล่องและติดตั้ง Harddisk เข้าไปที่ตัว NAS สำหรับ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-02.webp`}
 alt={`WD Red Harddisk`}
 width={1032}
 height={774}
/>

ทาง Western Digital ก็ได้เอื้อเฟื้อ Harddisk Red 2TB สำหรับการ Workshop ในครั้งนี้

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-03.webp`}
 alt={`HGST Harddisk`}
 width={1032}
 height={774}
/>

ส่วน HGST เป็น Harddisk ส่วนตัวของผมเอง 2 TB เท่ากัน เลยจับมาทดลอง Raid กันซะเลย (จริงๆ อยากได้ Red 2 TB อีกสักลูก พอมีใครใจดีส่งมาให้ไหมนะ อิอิ)

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-04.webp`}
 alt={`Install Harddisk`}
 width={1032}
 height={774}
/>

เสร็จแล้วก็ได้เวลา จับยัดลง NAS

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-05.webp`}
 alt={`Install Harddisk`}
 width={1032}
 height={774}
/>

ดันถาดลงไปให้สุด

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-06.webp`}
 alt={`Install Harddisk`}
 width={1032}
 height={774}
/>

แล้วก็ปิดฝาให้เรียบร้อยสวยงาม

## Plug in Lan Cable & Power On

เสียบสาย Power และ LAN ให้เรียบร้อย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-07.webp`}
 alt={`Install LAN and Power`}
 width={798}
 height={1065}
/>

จากนั้นกดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่องได้

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/setup-nas-08.webp`}
 alt={`Power On`}
 width={932}
 height={699}
/>

> หลังจากที่ต่อ LAN เข้า NAS เสร็จแล้วให้เชื่อม มือถือเข้ากับ Network วงเดียวกันกับ NAS หากเชื่อมคนละวง หรือใช้ 3G/4G จะไม่เห็นตัว NAS นะครับ เสร็จแล้วไปลุยกันเลย

## Download DS Finder App

สำหรับแอพ DS finder รองรับทั้งระบบ iOS และ Andriod ใครมีมือถือรุ่นไหนก็ไปดาวน์โหลดมาใช้งานได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-01.webp`}
 alt={`Install DS Finder App`}
 width={393}
 height={699}
/>

## Sign Up & Login

สำหรับในการติดตั้งครั้งแรก ให้เลือก Set up new NAS ได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-02.webp`}
 alt={`Welcome Screen`}
 width={393}
 height={699}
/>

ทำการสมัครสมาชิกแล้วเข้าสู่ระบบ

ขั้นตอนนี้จะเป็นการสมัครสมาชิกกับทางเว็บ Syology หากใครยังไม่เป็นสมาชิกก็กดปุ่ม Sign up เพื่อสมัครได้เลย แล้วกรอกข้อมูลตามที่เว็บต้องการจากนั้นกดปุ่ม Sign up อีกที หรือหากใครเป็นสมาชิกแล้วก็สามารถกดปุ่ม Login เพื่อเข้าสู่ระบบได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-03.webp`}
 alt={`Sign up DS Finder App`}
 width={393}
 height={699}
/>
<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-04.webp`}
 alt={`Sign up DS Finder App`}
 width={393}
 height={699}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-05.webp`}
 alt={`Sign up DS Finder App`}
 width={393}
 height={699}
/>

หน้า Login ก็กรอก Email กับ Password แล้วใส่ CAPTCHA เสร็จแล้วกดปุ่ม Login ได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-06.webp`}
 alt={`Sign up DS Finder App`}
 width={393}
 height={699}
/>

## Setting up device

แอพจะแนะนำ 3 ขั้นตอนเพื่อให้เราตรวจสอบว่า ได้ทำการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยหรือยัง ซึ่งขั้นตอนพวกนี้ผมได้แนะนำไปในตอนแรกละ เสร็จแล้วกดปุ่ม ลูกศรเพื่อดำเนินขั้นตอนต่อไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-07.webp`}
 alt={`Login DS Finder App and Install NAS`}
 width={393}
 height={699}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-08.webp`}
 alt={`Login DS Finder App and Install NAS`}
 width={393}
 height={699}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-09.webp`}
 alt={`Login DS Finder App and Install NAS`}
 width={393}
 height={699}
/>

หากไม่มีอะไรผิดพลาด จะเจอ NAS ของเรา กด Install ไปได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-10.webp`}
 alt={`Login DS Finder App and Install NAS`}
 width={393}
 height={699}
/>

กด OK เพื่อยืนยันการ Format harddisk

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-11.webp`}
 alt={`Format Disk`}
 width={393}
 height={699}
/>

จะมีการเก็บ IP และ สถิติการใช้งานของเรา แล้วยังมีเงื่อนไขอื่นๆ สามารถคลิกอ่านกันได้ เสร็จแล้วกดปุ่ม Agree

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-12.webp`}
 alt={`Agree Terms of Service`}
 width={393}
 height={699}
/>

หากต้องการให้ตัวแอพแจ้งเตือน กด OK ไปได้เลย หากไม่ต้องการก็ตอบ NO ไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-13.webp`}
 alt={`Notificate in App`}
 width={393}
 height={699}
/>

กำลังติดตั้ง...ระหว่างนี้ก็จิบกาแฟรอ

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-14.webp`}
 alt={`Install DSM`}
 width={393}
 height={699}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-15.webp`}
 alt={`Install DSM`}
 width={393}
 height={699}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-16.webp`}
 alt={`Install DSM`}
 width={393}
 height={699}
/>

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ระบบจะ Reboot ตัวเอง หลังจากที่นับเวลาถอยหลัง 10 นาที ระหว่างนี้ก็ปล่อยให้ระบบทำงานไป

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-17.webp`}
 alt={`Reboot`}
 width={393}
 height={699}
/>

หลังจาก Reboot เสร็จ ก็มาถึงการตั้งค่า โดยรายละเอียดแต่ละช่องมีดังนี้

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-18.webp`}
 alt={`Set up DSM Account`}
 width={393}
 height={699}
/>

- **Server name:** ชื่อ NAS ของเรา
- **Account:** ชื่อผู้ใช้เพื่อเข้าระบบใน NAS
- **Password:** รหัสผ่านเพื่อเข้าระบบใน NAS
- **Confirm:** ใส่รหัสผ่านเพื่อเข้าระบบใน NAS

เสร็จแล้วกด Create ได้เลย

## Setting Quickconnect

Quickconnect เป็นบริการหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับ NAS ของเราได้ทุกที่ ทุกเวลา

หากต้องการตั้งค่าตอนนี้สามารถกดปุ่ม Set up หรือหากต้องการตั้งค่าภายหลังก็กด Not now การตั้งค่าก็ง่ายมาก

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-19.webp`}
 alt={`Setup Quickconnect`}
 width={393}
 height={699}
/>

หลังจากที่กด Set up เข้ามา ก็ใส่ชื่อที่เราต้องการได้เลย แต่ชื่อนั้นต้องไม่มีใครใช้อยู่ก่อนแล้วนะครับ หรือง่ายๆ คือใส่ชื่อที่ไม่ซ้ำกับคนอื่นนั่นแหละ เมื่อใส่ชื่อเสร็จก็กด Submit ได้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-20.webp`}
 alt={`Setup Quickconnect`}
 width={393}
 height={699}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsfinder-21.webp`}
 alt={`Send data to Synology`}
 width={393}
 height={699}
/>

กด Submit อีกรอบ

## Login to NAS

เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบแล้วสำหรับการติดตั้งและตั้งค่า NAS Synology โดยใช้ iOS จากนั้นทดลองเข้าใช้งานผ่าน Browser ในคอมพิวเตอร์ดู

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/loginscreen.webp`}
 alt={`Login DSM on Browser`}
 width={1360}
 height={768}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/dsmscreen.webp`}
 alt={`Login DSM on Browser`}
 width={1360}
 height={768}
/>

เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับการติดตั้งและตั้งค่าการใช้งานในครั้งแรกผ่าน iOS ผมว่าโคตรจะง่าย และผมเชื่อว่าท่านๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งหากใครใช้ระบบ Android ก็สามารถทำได้เช่นกัน หรือบางท่านที่ไม่มีหละ ก็สามารถติดตั้งผ่าน PC ได้เช่น โดยการเปิด Browser แล้วเข้าไปที่เว็บไซต์ [http://find.synology.com/](http://find.synology.com/) ขั้นตอนการติดตั้งก็ต่างจากที่ผมนำเสนอเพียงเล็กน้อย สำหรับท่านใดมีข้อสงสัยตรงไหน สามารถถามเข้ามาผ่านคอมเม้นด้านล่างได้เลย ส่วนตัวผมนั้นขอตัวไปเล่นซนกับเจ้า NAS ตัวใหม่ของผมก่อนละ สำหรับบทความนีผมก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ.

### Special Thanks.

ก่อนนจะจากกันไปก็ขอขอบคุณผู้สนับสนุนด้านล่างนี้เลย

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/synology_logo.webp`}
 alt={`Synology Logo`}
 width={300}
 height={85}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/western-digital-logo.webp`}
 alt={`Western Digital Logo`}
 width={300}
 height={97}
/>

<ImageMarkdown
 src={`/images/posts/onpost/ds218plus/overclockzone-logo.webp`}
 alt={`Overclockzone Logo`}
 width={281}
 height={84}
/>